เมนู

ปุคคลวรรคที่ 3



1. สวิฏฐสูตร



ว่าด้วยบุคคล 3 พวก ที่พยากรณ์ยาก



[460] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ พระเชตวัน
อารามของอนาถปิณฑิกะ ใกล้กรุงสาวัตถี ครั้งนั้น ท่านสวิฏฐะ และท่าน
มหาโกฏฐิตะ เข้าไปหาท่านสารีบุตร ครั้นเข้าไปถึงแล้วก็ชื่นชมกับท่าน
สารีบุตร กล่าวถ้อยคำที่ทำให้เกิดความยินดีต่อกัน เป็นที่ระลึกถึงกันแล้ว นั่งลง
ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง ท่านสารีบุตรได้กล่าวคำนี้กะท่านสวิฏฐะผู้นั่ง ณ ที่ควร
ส่วนหนึ่งแล้วว่า อาวุโส สวิฏฐะ บุคคล 3 จำพวกนี้มีอยู่ในโลก บุคคล
3 คือใคร คือ กายสักขิ ทิฏฐิปัตตะ สัทธาวิมุตตะ นี้แล อาวุโส
บุคคล 3 จำพวกมีอยู่ในโลก บรรดาบุคคล 3 นี้ บุคคลไหนชอบใจท่านว่า
ดีกว่าและประณีตกว่า.
ท่านสวิฏฐะตอบว่า อาวุโส สารีบุตร บุคคล 3 จำพวกนี้มีอยู่
ในโลก ฯลฯ บรรดาบุคคล 3 นี้ บุคคลผู้สัทธาวิมุตตะ ชอบใจข้าพเจ้าว่า
ดีกว่าประณีตกว่า นั่นเพราะเหตุอะไร เพราะสัทธินทรีย์ ของบุคคลนี้มี
ประมาณยิ่ง.
ลำดับนั้น ท่านสารีบุตรถามท่านมหาโกฏฐิตะว่า อาวุโส โกฏฐิตะ
บุคคล 3 จำพวกนี้ มีอยู่ในโลก ฯลฯ บรรดาบุคคล 3 นี้ บุคคลไหนชอบใจ
ท่านว่า ดีกว่าประณีตกว่า.

ท่านมหาโกฏฐิตะตอบว่า อาวุโส สารีบุตร บุคคล 3 จำพวกนี้
มีอยู่ในโลก ฯลฯ บรรดาบุคคล 3 นี้ บุคคลผู้กายสักขิชอบใจข้าพเจ้าว่า
ดีกว่าประณีตกว่า นั่นเพราะอะไร เพราะสมาธินทรีย์ของบุคคลนี้มีประมาณ
ยิ่ง.
คราวนี้ท่านมหาโกฏฐิตะถามท่านสารีบุตรว่า อาวุโส สารีบุตร
บุคคล 3 จำพวกนี้มีอยู่ในโลก ฯลฯ บรรดาบุคคล 3 นี้ บุคคลไหนชอบใจ
ท่านว่า ดีกว่าประณีตกว่า.
ท่านสารีบุตรตอบว่า อาวุโส โกฏฐิตะ บุคคล 3 จำพวกนี้มีอยู่
ในโลก ฯลฯ บรรดาบุคคล 3 นี้ บุคคลผู้ทิฏฐิปัตตะชอบใจข้าพเจ้าว่า
ดีกว่าประณีตกว่า นั่นเพราะเหตุอะไร เพราะปัญญินทรีย์ของบุคคลนี้มี
ประมาณยิ่ง.
ครั้นแล้วท่านสารีบุตรได้กล่าวกะท่านสวิฏฐะและท่านมหาโกฏ-
ฐิตะ
ว่า เราทุกรูปได้แก้ปัญหาตามปฏิภาณของตนแล้ว มาเถิด อาวุโส เรา
จักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลเล่าความอันนี้แด่พระผู้มี
พระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงพยากรณ์แก่เราอย่างใด เราจัก
ทรงจำพระพุทธพยากรณ์นั้นไว้อย่างนั้น ท่านสวิฏฐะและท่านมหาโกฏฐิตะ
รับคำท่านสารีบุตรแล้ว ท่านสารีบุตรท่านสวิฏฐะและท่านมหาโกฏฐิตะ
ก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไปถึงแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า
แล้ว นั่งลง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง ท่านสารีบุตรผู้นั่ง ณ ที่ควร
ส่วนหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลเล่าถ้อยคำที่ปราศรัยกับท่านสวิฏฐะและท่านมหา
โกฏฐิตะ
ทั้งหมดแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ในเรื่องนี้ ไม่ง่ายเลย สารีบุตร ที่จะ
พยากรณ์โดยส่วนเดียวว่า บรรดาบุคคล 3นี้ บุคคลผู้นี้ดีกว่าประณีตกว่า เพราะ
ว่านี่เป็นฐานะมีอยู่ สารีบุตร คือว่า บุคคลผู้สัทธาวิมุตตะ พึงเป็นผู้ปฏิบัติ
เพื่อพระอรหัตผล* บุคคลผู้กายสักขิ พึงเป็นพระสกทาคามีบ้าง พระอนาคามี
บ้าง แม้บุคคลผู้ทิฏฐิปัตตะ ก็พึงเป็นพระสกทาคามีบ้าง พระอนาคามีบ้าง
ในเรื่องนี้ ไม่ง่ายเลย สารีบุตร ที่จะพยากรณ์โดยส่วนเดียวว่า
บรรดาบุคคล 3 นี้ บุคคลผู้นี้ดีกว่าประณีตกว่า เพราะว่า ที่เป็นฐานะมีอยู่
สารีบุตร คือว่า บุคคลผู้กายสักขิ พึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อพระอรหัตผล บุคคล
ผู้สัทธาวิมุตตะ พึงเป็นพระสกทาคามีบ้าง พระอนาคามีบ้าง แม้บุคคลผู้
ทิฏฐิปัตตะ ก็พึงเป็นพระสกทาคามีบ้าง พระอนาคามีบ้าง
ในเรื่องนี้ ไม่ง่ายเลย สารีบุตร ที่จะพยากรณ์โดยส่วนเดียวว่า
บรรดาบุคคล 3 นี้ บุคคลผู้นี้ดีกว่าประณีตกว่า เพราะว่า นี่เป็นฐานะมีอยู่
สารีบุตร คือว่า บุคคลผู้ทิฏฐิปัตตะ พึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อพระอรหัตผล
บุคคลผู้สัทธาวิมุตตะ พึงเป็นพระสกทาคามีบ้าง พระอนาคามีบ้าง แม้
บุคคลผู้กายสักขิ ก็พึงเป็นพระสกทาคามีบ้าง พระอนาคามีบ้าง
ในเรื่องนี้ ไม่ง่ายเลย สารีบุตร ที่จะพยากรณ์โดยส่วนเดียวว่า
บรรดาบุคคล 3 จำพวกนี้ บุคคลผู้นี้ดีกว่าประณีตกว่า.
จบสวิฏฐสูตรที่ 3
* หมายความว่า ตั้งอยู่ในพระอรหัตมรรคแล้ว

ปุคคลวรรควรรณนาที่ 3



อรรถกา สวิฏฐสูตร



พึงทราบวินิจฉัย ในสวิฎฐสูตรที่ 1 แห่งวรรคที่ 3 ดังต่อไปนี้:-
พระอริยบุคคล ชื่อว่า กายสกฺขี1 เพราะสัมผัสฌานผัสสะมาก่อน
ภายหลังจึงกระทำให้แจ้ง ซึ่งนิโรธ คือพระนิพพาน.
ชื่อว่า ทิฏฐิปัตตะ เพราะบรรลุธรรมนั้นที่ตนเห็นแล้ว.
ชื่อว่า สัทธาวิมุตตะ เพราะเชื่ออยู่ (มีศรัทธา) จึงได้หลุดพ้น.
บทว่า ขมติ แปลว่า ชอบใจ. บทว่า อภิกฺกนฺนตตโร แปลว่า
ดียิ่งกว่า.2 บทว่า ปณีตตโร แปลว่า ประณีตยิ่งกว่า.
บทว่า สทฺธินทริยํ อธิมตฺตํ โหติ ความว่า พระสวิฏฐเถระ
ในขณะแห่งอรหัตมรรค ได้มีสัทธินทรีย์เป็นธุระ (เป็นใหญ่) อินทรีย์ 4
ที่เหลือ เป็นบริวาร. ดังนั้น พระเถระเมื่อจะกล่าวถึงมรรคที่ตนได้บรรลุแล้ว
จึงได้กล่าวอย่างนี้. (ส่วน) ท่านมหาโกฏฐิตเถระ ในขณะแห่งอรหัตมรรค
ได้มีสมาธินทรีย์เป็นธุระ (เป็นใหญ่) อินทรีย์ 4 อย่างที่เหลือได้เป็นบริวาร
ของสมาธินั่นเอง. เพราะฉะนั้น ท่านพระมหาโกฏฐิตเถระแม้นั้นเมื่อจะบอกว่า
สมาธินทรีย์ มีประมาณยิ่ง (เป็นใหญ่) จึงได้กล่าวถึงมรรคที่ตนได้บรรลุ
นั่นแหละ. ส่วนพระสารีบุตรเถระ ในขณะแห่งอรหัตมรรค ได้มีปัญญิน-
ทรีย์ เป็นธุระ (เป็นใหญ่) อินทรีย์ 4 อย่างที่เหลือ ได้เป็นบริวารของ
ปัญญินทรีย์ นั้นนั่นเอง. เพราะฉะนั้น ท่านพระสารีบุตรเถระแม้นั้น เมื่อจะ
1. พระสูตรเป็น กายสกฺขิ
2. ปาฐะว่า สุนฺทรตโร ฉบับพม่าเป็น อติสุนฺทรตโร แปลตามฉบับพม่า.